หลายคนอาจเคยได้ยินมาว่าการดื่มน้ำอุ่นตอนเช้าช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย ในขณะที่บางคนกลับเชื่อว่าน้ำเย็นช่วยให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า แล้วจริงๆ แล้วแบบไหนดีกว่ากันต่อสุขภาพ ระหว่างน้ำเย็นกับน้ำอุ่น
เวลาคุณเหนื่อยจากการออกกำลังกาย การได้ดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้ว มันรู้สึกสดชื่นเหมือนร่างกายได้รับพลังใหม่ทันที แต่ถ้าเป็นช่วงเช้าหลังตื่นนอน การดื่มน้ำอุ่นกลับช่วยให้ร่างกายตื่นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และยังสบายท้องกว่า
ประโยชน์ของการดื่มน้ำเย็น
หลายคนติดนิสัยชอบน้ำเย็นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน การได้ดื่มน้ำเย็นช่วยลดความกระหายได้อย่างดี นี่คือข้อดีหลักๆ ของการดื่มน้ำเย็นที่งานวิจัยและประสบการณ์จริงสอดคล้องกัน
การดื่มน้ำเย็นทำให้รู้สึกสดชื่นทันที เพราะอุณหภูมิต่ำช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายตื่นตัวขึ้น สมองรู้สึกแจ่มใส จึงเหมาะกับช่วงที่ต้องการเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า เช่น หลังออกกำลังกายหนัก หรือเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าว
น้ำเย็นช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายร้อนจัด เช่น หลังวิ่งหรือเล่นกีฬา น้ำเย็นสามารถช่วยให้ร่างกายกลับเข้าสู่สมดุลได้เร็วขึ้น และยังช่วยลดอาการเหนื่อยล้าได้ด้วย
การดื่มน้ำเย็นก็มีข้อควรระวัง โดยเฉพาะถ้าดื่มทันทีหลังจากออกกำลังกายหนักเกินไป บางคนอาจรู้สึกเจ็บหน้าอกหรือจุกเสียดชั่วคราวได้ เพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วทำให้หลอดเลือดหดตัว อีกทั้งหากดื่มเร็วเกินไปก็อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงชั่วคราว
ประโยชน์ของการดื่มน้ำอุ่น
น้ำอุ่นมักถูกมองว่าเป็นน้ำเพื่อสุขภาพ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการบำรุงร่างกายจากภายใน หลายวัฒนธรรมโดยเฉพาะในเอเชียให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำอุ่นตั้งแต่ตื่นนอน การดื่มน้ำอุ่นช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น เพราะอุณหภูมิอุ่นใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกาย ทำให้ลำไส้ผ่อนคลาย และกระบวนการดูดซึมสารอาหารเป็นไปได้ราบรื่นขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ในบางกรณี
น้ำอุ่นช่วยให้ร่างกายขับของเสียได้ดีขึ้น เพราะกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ร่างกายปลดปล่อยเหงื่อและของเสียออกมาได้ง่ายขึ้น และยังมีส่วนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย โดยเฉพาะเวลาที่เครียดหรือรู้สึกไม่สบาย บางคนยังใช้การดื่มน้ำอุ่นเพื่อลดอาการเจ็บคอหรือคัดจมูก เพราะความอุ่นของน้ำช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในลำคอ และทำให้เสมหะไม่เหนียวจนเกินไป
การดื่มน้ำอุ่นไม่ได้เหมาะกับทุกคน หากดื่มน้ำอุ่นที่ร้อนเกินไปอาจทำให้หลอดอาหารหรือเยื่อบุภายในช่องปากระคายเคืองได้ ควรเลือกอุณหภูมิอุ่นกำลังดี ไม่ร้อนจัด
ควรเลือกน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นดี
ขึ้นอยู่กับเวลา โอกาส และความต้องการของร่างกาย ถ้ารู้สึกเหนื่อยจากการออกกำลังกายหรืออยู่กลางแดด น้ำเย็นย่อมช่วยคืนความสดชื่นได้ดีกว่า แต่ถ้าเพิ่งตื่นนอนหรือรู้สึกท้องอืด น้ำอุ่นก็เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ราบรื่นขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ร่างกายต้องการน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นก็ตาม การดื่มน้ำวันละประมาณ 6 ถึง 8 แก้วถือว่าเหมาะสมต่อการรักษาสมดุลร่างกาย
ข้อควรระวังในการดื่มน้ำ
นอกจากการเลือกอุณหภูมิของน้ำแล้ว สิ่งที่ควรใส่ใจคือปริมาณและช่วงเวลาที่ดื่ม หากดื่มน้ำครั้งละมากเกินไปอาจทำให้ไตทำงานหนัก และบางครั้งอาจรู้สึกแน่นท้องได้ ควรดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้งตลอดวันแทน
สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัดในทันที แต่ควรพักให้ร่างกายปรับอุณหภูมิเล็กน้อยก่อน เพื่อป้องกันอาการจุกเสียดหรือเจ็บหน้าอก ส่วนใครที่เป็นโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน น้ำอุ่นมักจะอ่อนโยนต่อระบบทางเดินอาหารมากกว่า
มุมมองจากวิถีชีวิตประจำวัน
หากมองในชีวิตจริง หลายคนเลือกน้ำเย็นในช่วงกลางวัน เพราะอากาศร้อนและต้องการความสดชื่น ส่วนตอนเช้าหรือก่อนนอนกลับนิยมดื่มน้ำอุ่น เพราะช่วยให้รู้สึกสบายตัวมากกว่า
เวลาไปทานอาหารตามร้านอาหารเอเชีย มักจะเสิร์ฟน้ำชาอุ่นมากกว่าน้ำเย็น เพราะเชื่อว่าช่วยย่อยอาหารได้ดี ขณะที่ร้านอาหารในเมืองร้อนมักจะเสิร์ฟน้ำแข็ง เพราะต้องการให้ลูกค้ารู้สึกสดชื่น นี่ก็สะท้อนว่าการเลือกดื่มน้ำอุณหภูมิใดเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมและสภาพอากาศด้วย
จะดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ น้ำเย็นช่วยให้ร่างกายสดชื่นและคลายร้อน ส่วนน้ำอุ่นช่วยเรื่องการย่อยอาหารและความผ่อนคลาย สิ่งสำคัญที่สุดคือการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน รู้จักเลือกเวลาและปริมาณที่เหมาะสม เพียงเท่านี้ไม่ว่าน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นก็ล้วนแต่ส่งผลดีต่อสุขภาพได้ทั้งนั้น