General

กลยุทธ์ Omnichannel ที่แท้จริง ประสบการณ์เดียวกันในทุกช่องทาง

ผู้บริโภคมีการเชื่อมต่อตลอดเวลา แบรนด์ส่วนใหญ่มักจะพูดถึงการทำ Multichannel หรือการขายผ่านหลายช่องทาง (เช่น มีหน้าร้าน, เว็บไซต์, และแอปฯ) แต่การมีอยู่หลายช่องทางไม่ได้หมายความว่าคุณกำลังใช้กลยุทธ์ Omnichannel ที่แท้จริง

กลยุทธ์ Omnichannel ที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนช่องทาง แต่เกี่ยวกับการสร้าง “ประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นหนึ่งเดียวและไร้รอยต่อในทุกช่องทาง” (Seamless and Consistent Experience) มันคือการเชื่อมโยงทุกจุดสัมผัส (Touchpoints) เข้าด้วยกัน ทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกถึงรอยต่อ ไม่ว่าจะเริ่มการเดินทางจากช่องทางใดก็ตาม

ความแตกต่างที่สำคัญ Multichannel vs. Omnichannel

ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า เราต้องเข้าใจความแตกต่างพื้นฐาน

คุณสมบัติ Multichannel (หลายช่องทาง) Omnichannel (ทุกช่องทางผสานรวม)
จุดโฟกัส ตัวช่องทาง (Channel-Centric) ตัวลูกค้า (Customer-Centric)
ข้อมูล ข้อมูลแต่ละช่องทางแยกกัน (Siloed Data) ข้อมูลทุกช่องทางเชื่อมโยงกัน (Integrated Data)
ประสบการณ์ ไม่ต่อเนื่อง อาจต้องเริ่มใหม่เมื่อเปลี่ยนช่องทาง ต่อเนื่อง ราบรื่น สามารถเปลี่ยนช่องทางได้ทันที
เป้าหมาย เพิ่มยอดขายในแต่ละช่องทาง เพิ่มความผูกพัน (Engagement) และมูลค่าลูกค้าตลอดชีพ (LTV)

Omnichannel คือการที่แบรนด์สามารถ “รู้จัก” ลูกค้าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ก็ตาม

แกนหลักของ Omnichannel ที่แท้จริง

การเปลี่ยนจาก Multichannel เป็น Omnichannel ต้องอาศัยการผสานรวมสามเสาหลักเข้าด้วยกัน:

1. การเชื่อมโยงข้อมูล คือกุญแจสำคัญ

รากฐานของ Omnichannel คือการมี มุมมองลูกค้าแบบองค์รวม (Single Customer View) ที่เดียว ผู้บริหารต้องลงทุนในแพลตฟอร์มที่สามารถรวบรวม ข้อมูลบุคคลที่หนึ่ง (First-Party Data) จากทุกแหล่ง (เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, หน้าร้าน, Call Center, โซเชียลมีเดีย) เข้ามาในระบบ Customer Data Platform (CDP) หรือ CRM ที่แข็งแกร่ง

ประโยชน์ของการเชื่อมโยงข้อมูล:

  • ความต่อเนื่องของสถานะ พนักงานขายหน้าร้านสามารถเห็นได้ทันทีว่าลูกค้าเคยดูสินค้าอะไรในเว็บไซต์มาก่อน หรือลูกค้าสามารถเริ่มสั่งซื้อในแอปฯ แล้วไปชำระเงินที่หน้าร้านได้โดยไม่สะดุด
  • การสื่อสารที่ถูกต้อง แบรนด์จะไม่ส่งอีเมลโปรโมตสินค้าที่ลูกค้าเพิ่งซื้อไปแล้วเมื่อวานนี้จากหน้าร้าน

2. ความสม่ำเสมอของแบรนด์และราคา

เมื่อช่องทางถูกเชื่อมโยงกัน เนื้อหา (Content), น้ำเสียง (Tone of Voice), และที่สำคัญที่สุดคือ ราคา (Pricing) ต้องมีความสม่ำเสมอในทุกจุดสัมผัส

  • ราคาต้องเท่ากัน หากสินค้ามีโปรโมชั่นพิเศษในเว็บไซต์ ราคาเดียวกันนั้นจะต้องถูกสะท้อนไปยังหน้าร้านและแอปพลิเคชันด้วย ลูกค้าไม่ควรต้องเปรียบเทียบราคาในช่องทางของแบรนด์เอง
  • น้ำเสียงที่เหมือนเดิม ลูกค้าควรได้รับประสบการณ์การบริการที่มีคุณภาพและน้ำเสียงที่เป็นมิตร ไม่ว่าจะพูดคุยกับ Chatbot ในเว็บไซต์ หรือพนักงานต้อนรับในร้าน

3. การออกแบบประสบการณ์แบบลูกค้านำทาง

กลยุทธ์ Omnichannel ที่ดีจะมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถใช้ช่องทางต่าง ๆ ตามความต้องการของพวกเขา โดยมีตัวอย่างกลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์ชั้นนำใช้:

  • Click-and-Collect (BOPIS) ลูกค้าสั่งซื้อออนไลน์ (เว็บไซต์/แอปฯ) แล้วเลือกไปรับสินค้าที่หน้าร้านที่สะดวก วิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าได้ของเร็ว และผู้ค้าปลีกได้โอกาสในการเสนอขายสินค้าอื่น ๆ ณ จุดรับสินค้า
  • Endless Aisle เมื่อสินค้าที่ลูกค้าต้องการหมดสต็อกในหน้าร้าน พนักงานสามารถใช้แท็บเล็ตเพื่อสั่งซื้อสินค้าชิ้นนั้นจากคลังสินค้าส่วนกลาง และจัดส่งตรงไปที่บ้านของลูกค้าได้ทันที ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียยอดขาย
  • การส่งคืนสินค้าแบบยืดหยุ่น ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์และนำไปคืนที่หน้าร้านได้ทุกสาขา หรือซื้อจากหน้าร้านและเลือกส่งคืนผ่านระบบออนไลน์ได้

ทำไม Omnichannel จึงจำเป็นต่อความอยู่รอด?

  1. เพิ่มความผูกพันของลูกค้า (LTV) งานวิจัยพบว่าลูกค้าที่ใช้ช่องทางที่ผสานรวมกันหลายช่องทาง มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินมากกว่าลูกค้าที่ใช้เพียงช่องทางเดียวอย่างมีนัยสำคัญ
  2. ยุคของความคาดหวังสูง ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้มองว่า Omnichannel เป็น “ข้อได้เปรียบ” แต่เป็น “มาตรฐานพื้นฐาน” ที่แบรนด์ควรมี หากแบรนด์ใดไม่สามารถจดจำสิ่งที่พวกเขาสั่งซื้อออนไลน์ได้เมื่อมาที่ร้าน พวกเขาก็จะเปลี่ยนไปหาคู่แข่งที่ทำได้
  3. การวัดผลที่แม่นยำ เมื่อทุกช่องทางเชื่อมกัน การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ก็จะชัดเจนขึ้น คุณจะรู้ว่าการที่ลูกค้าคลิกโฆษณาบน Facebook แล้วเดินเข้ามาซื้อที่หน้าร้านนั้น เป็นผลมาจากการทำการตลาดในช่องทางดิจิทัลอย่างแท้จริง

กลยุทธ์ Omnichannel ที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่จำนวนแพลตฟอร์มที่คุณมี แต่ที่ความสามารถของแบรนด์ในการรวมข้อมูล เทคโนโลยี และบุคลากรเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าไม่ต้องพยายามปรับตัวเข้ากับช่องทางของแบรนด์ แต่แบรนด์ต่างหากที่ปรับตัวเข้าหาลูกค้า เมื่อแบรนด์ของคุณทำได้เช่นนี้ เมื่อนั้นคุณจะกลายเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในสงครามการค้าปลีกยุคดิจิทัล